ชาญชัย จงรัก งักฮุย

ชาญชัย จงรัก งักฮุย
精忠岳飛 (จิง จง เอวี้ย เฟย)

    สมัยราชวงศ์ซ้องของประเทศจีน ในรัชสมัยเกาจงฮ่องเต้ แผ่นดินอุดมสมบูรณ์แสนยานุภาพเกริกไกร ทำให้แว่นแคว้นน้อยใหญ่ใกล้เคียงพิสมัยอยากได้กันมาก แต่โชคดีที่แผ่นดินจีนในครั้งนั้นได้มีวีรบุรุษท่านหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อเติบใหญ่ก็ได้รับราชการเป็นทหาร จนที่สุดได้ดำรงตำแหน่งจอมทัพ
    ท่านมีนามว่า “งักฮุย” หรือ เอวี้ยเฟย
    จอมทัพงักฮุยจงรักภักดีต่อบ้านเมืองเป็นที่สุด กล้าหาญชาญรบไม่มีใครเสมอได้ อริราชศัตรูแพ้พ่ายไม่มีเหลือ จนพระเจ้าเกาจงฮ่องเต้โปรดปราน พระราชทานธงชัยประจำตำแหน่ง จารึกอักษรสดุดีสี่คำว่า “จิงจงเอวี้ยเฟย” (ชาญชัย จงรัก งักฮุย)
    ทุกครั้งที่ออกศึก เมื่อธงชัยผืนนี้โบกสะบัดนำทัพ ข้าศึกที่มุ่งร้ายก็เสียขวัญแทบจะแตกกระเจิงไปเองโดยไม่ต้องลงมือปะทะกัน
    ทุกบ้านเมืองตั้งแต่โบราณ จนยุคปัจจุบันเป็นอย่างเดียวกัน
    เมื่อมีขุนนางตงฉินผู้จงรักภักดี ก็ต้องมีขุนนางกังฉินทรราช
    เมื่อมีผู้รักชาติเสียสละ ก็ต้องมีคนเห็นแก่ตัวกอบโกย
    ในครั้งนั้น ขุนนางทรราชมีนามว่า ฉินไคว่ เขากับภรรยาริษยาเกียรติคุณของท่านจอมทัพงักฮุยนัก อยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินเพียงผู้เดียว จึงเมื่อหัวหน้าแคว้นจินมาติดสินบน ขอให้หาทางกำจัดผู้ปกป้องบ้านเมืองเสีย ฉินไคว่ก็ไม่รั้งรอทันที
    เขาหาทางสร้างสถานการณ์และเพ็ดทูลฮ่องเต้ว่า จอมทัพงักฮุยจะตั้งตัวเป็นใหญ่ จะทำลายเสถียรภาพของฮ่องเต้ในวันข้างหน้า
    ท่านจอมทัพงักฮุยจึงถูกจำคุก และจบชีวิตของผู้ชาญชัยจงรักลงอย่างน่าเจ็บใจที่สุดในคุกนั่นเอง
    ชาวบ้านชาวเมืองร้องไห้กับการสูญเสียวีรบุรุษคนดีของแผ่นดินอยู่ไม่รู้หาย เขาช่วยกันเชิญศพของท่านไปฝังไว้ที่เชิงเชาข้างทะเลสาบซีหู ในมณฑลหังโจว เขียนคำไว้อาลัยจารึกไว้หน้าสุสานว่า
    “เขาเขียวโชคดีเป็นที่ฝัง กระดูกท่านผู้ใจภักดิ์รักแผ่นดิน”
    ส่วนทรราชฉินไคว่และภรรยา ได้สมอารมณ์อยากในลาภยศอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องตายอย่างอนาถจากเงื้อมมือของศัตรูผู้ติดสินบนเขานั่นเอง
    ชาวบ้านชาวเมืองโห่ร้องดีใจกับการตายของผู้บ่อนทำลายแผ่นดินอยู่ไม่รู้เลิก เขาช่วยกันรวบรวมโลหะชั้นเลวต่างๆ มาหลอมเป็นรูปของทั้งสองคนในลักษณะคุกเข่าไว้เบื้องหน้าสุสานท่านจอมทัพงักฮุย และเขียนคำสำทับว่า
    “โลหะอยู่ดีไม่มีผิด ถูกหลอมติดประจานชั่วตัวสองคน”
    จากบัดนั้นจนบัดนี้ ความดีความชั่วของข้าแผ่นดินทั้งสองยังคงเป็นอุทาหรณ์แก่คนทั้งหลายเรื่อยมา
    ทุกคนที่ไปกราบคารวะปูชนียสถานสุสานท่านจอมทัพงักฮุย ก็มักจะมีดอกไม้สดหรือผลไม้ไปบูชา เสร็จแล้วทุกคนก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาถ่มน้ำลายรดหรือยกเท้าถีบรูปโลหะของฉินไคว่และภรรยา
    แม้แต่เด็กเล็กเด็กน้อยก็ยังรู้จักหยิบก้อนกรวดก้อนหินขว้างปาสาปแช่ง
    ชาวบ้านเกรงว่าเรื่องนี้จะเลือนหายไปจากความทรงจำ และด้อยความสำคัญลงไปจากใจของผู้รักความซื่อสัตย์ดีงาม ชาวบ้านจึงได้ร่วมกันนำแป้งสาลีมานวด เหมือนจะให้แป้งนั้นเจ็บปวดถึงที่สุด จากนั้นก็เอามาตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วนำแป้งสองชิ้นมาประกบติดกัน ชั้นหนึ่งหมายถึงทรราชฉินไคว่ อีกชิ้นหนึ่งหมายถึงภรรยาผู้สมคบกันทำความชั่ว แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนๆ ให้พองจนเกือบเกรียม แล้วจับฉีกกินให้สะใจ
    มันคือ ปาท่องโก๋
    เมื่อพูดถึงปาท่องโก๋ เรามักจะแสดงความหมายว่า บุคคลสองคนสนิทสนมใกล้ชิดติดตามกันเป็นเงาตามตัว มีคนนี้อยู่ที่ไหน ก็มีอีกคนหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย
    โดยความเป็นมาแล้ว ปาท่องโก๋หมายถึงทรราชฉินไคว่คู่กับภรรยาที่ร่วมสมคบคิดกันทำความชั่วอย่างเหนียวแน่น
    ฉะนั้น เมื่อรู้ประวัติความเป็นมาแล้ว จึงไม่น่าใช้คำว่า “ปาท่องโก๋” มาแสดงความชื่นชมยินดีแก่ความใกล้ชิดกันระหว่างคนดีอีกต่อไป
อีกประการหนึ่ง คำว่า ปาท่องโก๋ แท้จริงแปลว่า ขนมโก๋ที่เป็นแป้งและน้ำตาล ซึ่งถูกต้องของปาท่องโก๋คือ “อิ๋วจ้าไคว่” ซึ่งแปลว่า น้ำมันทอดฉินไคว่ หรือฉินไคว่ทอดน้ำมันจึงจะถูกต้อง

Scroll to Top