พ่อแม่ล่วงวัย ให้รู้เดือนปี
父母之年 (ฟู่ หมู่ จือ เหนียน)
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ยังมีนักศึกษาชายคนหนึ่ง มีชื่อว่า อุ๋ยป๋ออวี๋
อุ๋ยป๋ออวี๋แปลกกว่าใครอื่นๆตั้งแต่เด็ก คือมีจิตสำนึกในความกตัญญูได้เองโดยไม่ต้องมีใครสั่งสอน ทุกครั้งที่เขาทำผิดตามประสาเด็กโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือพลาดพลั้งทำของแตกหักเสียหาย ถูกแม่ทำโทษลงมือลงไม้ เขาจะดีใจแอบยิ้มอยู่ในที
แม่ยิ่งทุบตีเขาแรงเท่าไหร่ ดูเขากลับยิ่งพอใจเท่านั้น
เวลาล่วงเลยไป อุ๋ยป๋ออวี๋เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ แม่ก็แก่เฒ่าลง
อุ๋ยป๋ออวี๋ยังคงกตัญญูดูแลปรนนิบัติต่อแม่ด้วยความเคารพรักเสมอมา
วันหนึ่ง อุ๋ยป๋ออวี๋ออกไปทำธุระนอกบ้าน เลยเวลาอาหารมาแล้วยังไม่กลับมา แม่อยู่บ้านตั้งตาคอยด้วยความเป็นห่วง เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนั้นวุ่นวาย แม่หวาดระแวงภัยสารพัด กลัวจะเกิดกับลูก อีกทั้งเห็นว่าลูกเหลวไหลเสียเวลาอ่านตำรับตำราไปมาก เมื่อลูกกลับมา แม่ทั้งดีใจและโมโห จึงทุบตีให้
อุ๋ยป๋ออวี๋ไม่ได้ถูกแม่ทุบตีมาเสียนาน
วันนี้ก็เหมือนกับครั้งเป็นเด็ก เขาคุกเข่าลงให้แม่ทุบตี แต่แม่ก็ทุบตีเขาเพียงสองสามทีแล้วก็หยุด
ครั้งนี้ อุ๋ยป๋ออวี๋ไม่ได้ยิ้มอยู่ในที ไม่ได้พอใจการทุบตีของแม่อีก แต่เขากลับยกมือปิดหน้า คุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น
แม่ใจไม่ดีเลยที่เห็นลูกมีอาการอย่างนี้ หายโมโหอย่างกับปลิดทิ้ง รีบเดินเข้ามากอดลูกไว้แล้วถามว่า
“แม่ทุบลูกเจ็บมากหรือ จึงได้สะอึกสะอื้นอย่างนี้”
อุ๋ยป๋ออวี๋น้ำตานองหน้า ตอบแม่ว่า
“แม่ทุบตีลูกยิ่งแรงเท่าไรลูกยิ่งดีใจนัก เพราะแสดงว่าแม่ยังมีกำลังวังชาดี… มาบัดนี้ แม่ทุบตีลูกสองสามทีแม่ก็เหนื่อยแล้ว แรงที่ทุบตีก็อ่อนกำลังลงมาก ลูกไม่ได้ถูกแม่ทุบตีมานาน ไม่รู้เลยว่า บัดนี้ แม่ของลูกร่างกายทรุดโทรมลงถึงเพียงนี้”
ท่านบรมครูขงจื่อสอนไว้ว่า
“อายุของพ่อแม่มิให้ไม่รู้”
ลูกทั่วไปมากมายไม่รู้ว่า พ่อแม่ตนปีนี้อายุเท่าไร
วันเดือนปีผ่านไป ลูกได้แต่ดีใจว่า อายุตนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกปีหนึ่งแล้ว มิรู้ว่าพ่อแม่แก่ชราลงไปอีกปีหนึ่ง ปีที่ท่านจะอยู่กับลูกก็น้อยลงไปอีกปีหนึ่ง
พ่อแม่กำลังเดินเข้าไปใกล้วันสุดท้ายของชีวิตยิ่งขึ้นทุกวัน
คนโบราณแม้จะอยู่ในโลกที่วิทยาการไม่เจริญอย่างปัจจุบัน แต่ความละเอียดอ่อนโยนของจิตใจก็เป็นไปตามทำนองของมนุษยธรรม ประสานเข้ากับธรรมชาติอย่างกลมกลืน มิได้ฝืนธรรมชาติเช่นคนในยุคปัจจุบัน


